
ประจำสัปดาห์ 08 - 14 ธันวาคม 2568
.png)

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเหรียญ Stablecoin ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นราว 10% ในสโมสรยูเวนตุส ได้ยื่นข้อเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด 65.4% ของตระกูล Agnelli ผู้ถือหุ้นใหญ่ของสโมสรฟุตบอล Juventus และบริษัทโฮลดิ้งระดับโลกอย่าง Exor โดยเป็นการเข้าซื้อด้วยเงินสดทั้งหมด อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการของ Exor ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ปฏิเสธข้อเสนอของ Tether โดยระบุอย่างชัดเจนในแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ว่า บริษัทไม่มีความประสงค์จะขายหุ้นใด ๆ ในยูเวนตุสให้แก่บุคคลภายนอก รวมถึง Tether จากเอลซัลวาดอร์ด้วย ทั้งนี้ Tether เพิ่งประกาศความตั้งใจในการเข้าซื้อหุ้น Exor อย่างเป็นทางการ พร้อมแสดงความชื่นชมต่อสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ และระบุว่าจะลงทุนเพิ่มเติมอีก 1 พันล้านดอลลาร์ หากข้อเสนอได้รับการยอมรับ ปัจจุบัน Tether ถือหุ้นยูเวนตุสอยู่แล้ว 10% และเคยแสดงจุดยืนมาอย่างต่อเนื่องว่าต้องการมีบทบาทเชิงกลยุทธ์มากขึ้นภายในสโมสร
ยูเวนตุสคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ครั้งล่าสุดในปี 2020 ก่อนที่สโมสรจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เกิดภาวะขาดทุนต่อเนื่อง และนำไปสู่การตัดสินใจขายนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์อย่างคริสเตียโน โรนัลโด ในปี 2021 ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สโมสรเผชิญแรงกดดันทางการเงินจากผลขาดทุนซ้ำซาก และต้องเพิ่มทุนอย่างต่อเนื่อง รวมมูลค่ากว่า 1 พันล้านยูโร หรือประมาณ 1.17 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเจ็ดปี โดย Exor ระบุว่าข้อเสนอของ Tether เป็นข้อเสนอที่ไม่ได้ถูกร้องขอ พร้อมย้ำว่าครอบครัว Agnelli ยังคงยึดมั่นและผูกพันกับสโมสรเช่นเดิม ยูเวนตุสถือเป็นสโมสรที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและประสบความสำเร็จ โดย Exor และครอบครัว Agnelli เป็นผู้ถือหุ้นหลักมายาวนานกว่า 100 ปี และยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนสโมสร รวมถึงทีมผู้บริหารชุดใหม่ในการขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทั้งในและนอกสนาม
ในด้านการตอบสนองของตลาด ราคาของโทเคนที่เชื่อมโยงกับสโมสร “JUV” ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 0.7849 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 32% ภายใน 24 ชั่วโมง หลังการเปิดเผยความตั้งใจเข้าซื้อกิจการของ Tether อย่างไรก็ตาม ณ เวลาที่มีการรายงาน ยังไม่พบปฏิกิริยาที่ชัดเจนจากตลาดต่อการที่ Exor ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว ปัจจุบัน Tether ซึ่งเป็นผู้ออกสเตเบิลคอยน์รายใหญ่ ถือหุ้นยูเวนตุสในสัดส่วน 11.53% นับเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองรองจาก Exor ขณะที่ราคาหุ้น Juventus หลังปิดตลาดวันศุกร์ปรับลดลง 0.9% มาอยู่ที่ 2.194 ยูโร หรือราว 2.58 ดอลลาร์ ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของสโมสรอยู่ที่ประมาณ 988 ล้านดอลลาร์

กลยุทธ์ Bitcoin Treasury ยังคงได้รับการคงสถานะอยู่ในดัชนี Nasdaq 100 หลังจากดัชนีดังกล่าวประกาศการปรับพอร์ตประจำปีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดย Nasdaq ระบุว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ก่อนตลาดเปิดทำการในวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม 2025 ก่อนหน้านี้มีความเห็นจากนักวิเคราะห์บางส่วนที่แสดงความกังวลว่า บริษัทซอฟต์แวร์ซึ่งเดิมรู้จักกันในชื่อ MicroStrategy หรือปัจจุบันคือ Strategy อาจถูกถอดออกจากดัชนี หลังราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในปีนี้ ทั้งที่บริษัทเพิ่งถูกเพิ่มเข้าสู่ Nasdaq 100 เมื่อเดือนธันวาคม 2024 จากแรงหนุนของราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นอย่างโดดเด่น ปัจจุบันหุ้น Strategy (NASDAQ: MSTR) ปรับตัวลดลงมากกว่า 40% นับตั้งแต่ต้นปี ขณะที่นักวิเคราะห์ตลาดบางรายมองว่าบริษัทเริ่มแบกรับภาระหนี้ในระดับสูง Strategy ซึ่งเดิมดำเนินธุรกิจซอฟต์แวร์ ได้เริ่มเข้าซื้อ Bitcoin ครั้งแรกในปี 2020 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและเพิ่มผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 ต่อมาบริษัทได้ปรับภาพลักษณ์สู่การเป็น Bitcoin Treasury Firm อย่างเต็มรูปแบบ เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถือหุ้นเพื่อรับเอ็กซ์โพสเชอร์ต่อคริปโตอันดับหนึ่งของโลก ผ่านการออกตราสารหนี้เพื่อนำเงินไปสะสม Bitcoin อย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันกลายเป็นบริษัทที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุด โดยมีจำนวน 660,624 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 59.5 พันล้านดอลลาร์ตามราคาปัจจุบัน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทมหาชนจำนวนหลายร้อยแห่งได้เดินตามโมเดลของ Strategy ด้วยการเข้าซื้อ Bitcoin และคริปโตอื่น ๆ เพื่อคาดหวังให้มูลค่าหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งในระยะแรกมีบริษัทจำนวนไม่น้อยที่เห็นราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม เมื่อความผันผวนของตลาดคริปโตเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้ ภาพรวมเริ่มเปลี่ยนไป รายงานจาก BitcoinTreasuries.net ระบุว่า ปัจจุบันประมาณ 60% ของบริษัทที่ถือ Bitcoin อยู่ในสถานะขาดทุนเมื่อเทียบกับต้นทุนที่เข้าซื้อ แม้หุ้นของ Strategy จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,120% นับตั้งแต่บริษัทเริ่มใช้กลยุทธ์ซื้อ Bitcoin อย่างจริงจังในเดือนสิงหาคม 2020 แต่การปรับฐานของตลาดคริปโตในปี 2025 ก็ส่งผลให้มูลค่าหุ้นลดลงจากจุดสูงสุดตลอดกาลในเดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งอยู่ใกล้ระดับ 474 ดอลลาร์ ก่อนจะปิดการซื้อขายล่าสุดที่ราว 176 ดอลลาร์ต่อหุ้น ขณะเดียวกัน ราคา Bitcoin ปรับตัวลดลงเกือบ 30% จากจุดสูงสุดตลอดกาลในเดือนตุลาคมที่ระดับ 126,080 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ประมาณ 90,180 ดอลลาร์ต่อเหรียญ ส่งผลให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับหนึ่งของโลกนับตั้งแต่ต้นปียังคงติดลบเล็กน้อยราว 4%

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพรวมของกระแสเงินสุทธิ (Net Flows) บนเครือข่ายต่าง ๆ สะท้อนพฤติกรรมของผู้ใช้งานและนักลงทุนได้ชัดเจนขึ้นว่าตลาดกำลังเริ่มเลือกข้าง โดยมีผู้ชนะที่โดดเด่นอย่างชัดเจน นั่นคือ Hyperliquid ซึ่งรับเม็ดเงินไหลเข้าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับทุกเครือข่ายที่ระดับประมาณ 182 ล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงความนิยมที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในฐานะแพลตฟอร์มเทรดและระบบนิเวศที่กำลังขยายตัว ขณะเดียวกัน เครือข่ายฝั่ง Layer 2 อย่าง Base, Arbitrum และ OP Mainnet รวมถึงบล็อกเชนหลักอย่าง Solana และแม้แต่ Bitcoin เอง ก็ยังคงมีเงินไหลเข้าเช่นกัน แม้ตัวเลขจะไม่โดดเด่นเท่าผู้นำ แต่ภาพรวมยังบ่งชี้ว่าเม็ดเงินยังคงเคลื่อนไปสู่เครือข่ายที่มีต้นทุนต่ำ ความเร็วสูง และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ในทางตรงกันข้าม เครือข่ายที่เผชิญแรงไหลออกมากที่สุดในสัปดาห์นี้คือ Ethereum ซึ่งสูญเสียสภาพคล่องในระดับสูงจนกลายเป็นเครือข่ายที่มี Net Outflow มากที่สุดอย่างชัดเจนที่ประมาณ 137 ล้านดอลลาร์ สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในตลาดระยะหลัง คือการเคลื่อนย้ายเงินทุนจาก Layer 1 ที่มีต้นทุนค่าธรรมเนียมสูง ไปสู่แพลตฟอร์มที่มีความคล่องตัวมากกว่า เช่น เครือข่าย Layer 2 และเชนรุ่นใหม่ที่มีแรงจูงใจดึงดูดผู้ใช้งานสูงกว่า นอกจากนี้ เครือข่ายอย่าง Polygon PoS, BNB Chain, Avalanche, Starknet, Sui และ Unichain ต่างก็เผชิญกระแสเงินไหลออกอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งอาจสะท้อนถึงผลกระทบจากความผันผวนของตลาด หรือกิจกรรมภายในระบบนิเวศที่ยังไม่สามารถขยายตัวได้ตามที่คาดหวังไว้

ดัชนี Crypto Fear & Greed Index เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ประเมินมุมมองและอารมณ์ของตลาดคริปโต โดยอ้างอิงคะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 100 (0 หมายถึง ความกลัวสุดขีด หรือ Extreme Fear และ 100 หมายถึง ความโลภสุดขีด หรือ Extreme Greed)
ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ล่าสุดปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 17 ซึ่งจัดอยู่ในโซน Extreme Fear อย่างชัดเจน สะท้อนบรรยากาศความหวาดกลัวในตลาดที่อยู่ในระดับสูงมาก ภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางแรงขายต่อเนื่องและความไม่แน่นอนด้านปัจจัยมหภาคที่กดดันราคาสินทรัพย์ดิจิทัลตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา อีกทั้งในรอบ 30 วันที่ผ่านมา ดัชนีแทบไม่สามารถฟื้นกลับขึ้นไปอยู่ในโซนกลางหรือโซนบวกได้เลย แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของตลาดยังคงอ่อนแรงอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงเวลาเดียวกัน กราฟราคาของ Bitcoin เคลื่อนไหวสอดคล้องกับทิศทางของดัชนีดังกล่าว โดยราคาปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากระดับเหนือ 110,000 ดอลลาร์ ลงมาสู่บริเวณต่ำกว่า 90,000 ดอลลาร์ ความกังวลในตลาดยิ่งทวีความรุนแรงเมื่อดัชนีปรับลงไปทำจุดต่ำสุดหลายครั้ง ขณะที่สภาพคล่องจากผู้เล่นรายใหญ่ยังไม่กลับเข้ามาในระดับที่เพียงพอจะพยุงราคาได้ อย่างไรก็ตาม ในเชิงพฤติกรรมตลาด ช่วงที่ดัชนีอยู่ในโซน Extreme Fear มักถูกมองว่าเป็นจังหวะที่นักลงทุนบางส่วนใช้สำหรับการสะสมในระยะยาว โดยข้อมูลในอดีตของตลาดคริปโตหลายรอบชี้ให้เห็นว่าความกลัวในระดับสุดขีดมักเกิดขึ้นก่อนช่วงการฟื้นตัว แม้จะไม่สามารถระบุจุดกลับตัวได้อย่างชัดเจนก็ตาม

ตารางกระแสเงินของ Bitcoin ETF ในช่วงกลางไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 สะท้อนภาพที่ชัดเจนว่าตลาดกำลังอยู่ภายใต้แรงขายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากกองทุนขนาดใหญ่บางแห่งที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในช่วงตลาดขาขึ้น ความผันผวนของราคาและแรงกดดันจากทิศทางที่อ่อนตัวลง ส่งผลให้หลายกองทุนกลับมาอยู่ในสถานะฝ่ายขายสุทธิมากกว่าการเข้าซื้อ หากพิจารณาข้อมูลย้อนหลังในสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 8 ธันวาคมเริ่มเห็นแรงขายเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยภาพรวมทั้งวันติดลบประมาณ 60 ล้านดอลลาร์ ขณะที่วันที่ 9 ธันวาคม มีกระแสเงินไหลออกจากกองทุน IBIT สูงถึง 135 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นระดับการไหลออกที่มากที่สุดของกองทุนนี้ในรอบ 30 วันย้อนหลัง อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกัน ภาพรวมของตลาดกลับปิดเป็นบวกที่ 151.9 ล้านดอลลาร์ จากการที่กองทุนอื่นเข้ารับเม็ดเงินจำนวนมาก โดยเฉพาะ FBTC ที่มีเงินไหลเข้ามากกว่า 198.9 ล้านดอลลาร์ ต่อมาในวันที่ 10 ธันวาคม กองทุน IBIT กลับทิศจากวันก่อนหน้า ด้วยกระแสเงินไหลเข้าสูงถึง 192.9 ล้านดอลลาร์ พร้อมกับเงินไหลเข้าสุทธิเพิ่มอีก 30.6 ล้านดอลลาร์จาก FBTC แต่สถานการณ์ดังกล่าวไม่สามารถรักษาความต่อเนื่องได้ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม กระแสเงินสุทธิกลับมาติดลบอีกครั้ง รวมทั้งวันราว 77.5 ล้านดอลลาร์ โดยมีแรงไหลออกหลักจาก FBTC ที่ 103.6 ล้านดอลลาร์ รวมถึงกองทุนอื่น ๆ แม้ในวันเดียวกัน IBIT จะมีเงินไหลเข้า 76.7 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยแรงขายทั้งหมด ส่วนวันที่ 12 ธันวาคม กระแสเงินสุทธิโดยรวมไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยปิดวันด้วยเงินไหลเข้าสุทธิประมาณ 49.1 ล้านดอลลาร์

ช่วงวันที่ 8–14 ธันวาคม ถือเป็นสัปดาห์ที่กระแสเงินของกองทุน Ethereum ETF ส่งสัญญาณการฟื้นตัวในลักษณะก้ำกึ่ง นักลงทุนยังไม่แสดงความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ แม้ในบางช่วงจะเห็นแรงซื้อที่เริ่มแข็งแรงขึ้น แต่แรงขายจากกองทุนเดิมอย่าง Grayscale ยังคงทำหน้าที่เป็นแรงถ่วงต่อทิศทางโดยรวมของตลาดอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลภาพรวมสะท้อนการเคลื่อนไหวของเงินทุนที่ยังขาดความชัดเจนในเชิงทิศทาง
จากตัวเลขกระแสเงิน พบว่ามีเงินไหลเข้าสุทธิต่อเนื่องกัน 3 วัน โดยวันที่ 8 ธันวาคม มีเงินไหลเข้าประมาณ 35.5 ล้านดอลลาร์ วันที่ 9 ธันวาคม เพิ่มขึ้นเป็นราว 177.7 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกองทุน ETHA, FETH และ ETHW และวันที่ 10 ธันวาคม ยังมีเงินไหลเข้าต่ออีกประมาณ 57.6 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ภาพดังกล่าวถูกหักล้างบางส่วนในช่วงถัดมา เมื่อวันที่ 11 และ 12 ธันวาคม กระแสเงินกลับมาติดลบทั้งสองวัน โดยวันที่ 11 ธันวาคม มีเงินไหลออกสุทธิราว 42.3 ล้านดอลลาร์ และวันที่ 12 ธันวาคม ราว 19.4 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแรงขายหลักยังคงมาจากกองทุนของ Grayscale ทั้งสองวัน
ข่าวสารสำคัญ:
ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของบราซิลแนะนำให้จัดพอร์ต Bitcoin 3% โดยบอกว่านี่คือการกระจายความเสี่ยงที่แท้จริง
ฮัสเซ็ตต์ระบุว่า มุมมองของทรัมป์เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยจะไม่มีน้ำหนักใด ๆ ต่อการตัดสินใจของ FED
ที่มา:
https://www.ft.com/content/08586db5-0af1-4a8c-940f-3fc36b481223
https://www.dlnews.com/articles/markets/bitcoin-giant-strategy-nasdaq-100
https://coinpaper.com/13097/strategy-holds-nasdaq-100-spot-as-mstr-chart-points-to-100-call
หมายเหตุ : บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
Note: This analysis is conducted every Monday, so some parts of the article may contain inaccurate information
คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ขอบคุณที่ติดตามครับ
Thanakarn
ประกาศและข่าวสารเหรียญต่าง ๆ
ประกาศและข่าวสารเหรียญต่าง ๆ
ลงทะเบียนอย่างปลอดภัยกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต


