Ethereum (ETH) เป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนแบบกระจายศูนย์และโอเพนซอร์สที่อนุญาตให้นักพัฒนาสร้างและปรับใช้สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) และแอปพลิเคชันกระจายศูนย์ (DApps) โดยถูกเสนอขึ้นในปลายปี 2013 โดยโปรแกรมเมอร์ Vitalik Buterin และการพัฒนาได้รับการระดมทุนจากประชาชนในปี 2014 Ethereum เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2015
Native Blockchain:
Ethereum ทำงานบน blockchain ของตัวในชื่อเดียวกัน ซึ่งในส่วนนี้ก็เหมือนกับ BTC ในส่วนเป็นระบบแบบไร้ตัวกลาง และมีการจัดการข้อมูลแบบกระจายศูนย์ อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายก็มองว่า ETH เป็นการพัฒนาขั้นที่เหนือกว่า Bitcoin เพราะเพิ่มความสามารถในการพัฒนาแอพพลิเคชันที่ทำงานแบบไร้ตัวกลาง(DApp) และสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) เพิ่มเข้าไปด้วย
Consensus Protocol:
ในตอนแรกเริ่ม Ethereum ใช้ระบบฉันทามติแบบ Proof-of-Work เหมือนกับ Bitcoin แต่ในสถานะปัจจุบัน ETH จะเปลี่ยนไปใช้ขั้นตอนแบบ Proof-of-Stake (PoS) แทน โดยที่จะทำงานควบคู่ไปกับการอัพเกรดไปเป็น Ethereum 2.0 ที่เริ่มมีการอัพเดทใหญ่เช่น Beacon Chain และ The Merge ในเดือนเมษายน 2023 และการเปลี่ยนผ่านข้อมูลทั้งหมดจาก Ethereum ตัวเดิม ไปเป็นเวอร์ชั่น 2.0 คาดว่าจะกินเวลา 2 ปี
Trilemma (Security, Speed, Scalability):
Security: ระบบ PoW ของ Ethereum รวมไปถึงระบบ PoS ที่จะนำมาใช้แทนที่ในเวอร์ชั่น 2.0 นั้น เป็นที่ยอมรับในหมู่นักพัฒนาในเรื่องของความปลอดภัย
Speed: ในปัจจุบัน Ethereum Blockchain สามารถสร้างบล็อคใหม่ขึ้นมาได้โดยเฉลี่ยทุก ๆ 13 วินาที ซึ่งทำให้การส่งข้อมูลธุรกรรมต่าง ๆ สามารถทำได้ไว แต่อย่างไรก็ดี การยืนยันธุรกรรมอาจยังมีข้อจำกัดอยู่บ้างในเรื่องของปริมาณการยืนยันต่อวินาที
Scalability: เช่นเดียวกับ Bitcoin ตัวของ Ethereum เอง ในเวอร์ชั่นแรก ก็เจอปัญหาและความท้าท้ายในเรื่องของ scalability เพราะพบว่าระบบทำงานได้ประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อมีการใช้งานมากขึ้น ซึ่งคาดว่าปัญหานี้จะถูกแก้ไขได้ด้วยการอัพเกรด Ethereum 2.0 ที่มีหลายการเปลี่ยนแปลงที่จะเข้ามาช่วยในเรื่องนี้
Founder / Date Founded:
แนวคิดของ Ethereum ถูกคิดขึ้นมาด้วยตัวของนาย Vitalik Buterin ในช่วงปลายปี 2013 และได้รับทุนพัฒนาจนเป็นรูปร่างขึ้นมาในปี 2014 โดยตัว Ethereum Network นั้นได้เปิดใช้งานจริงในวันที่ 30 กรกฎาคม 2015
Objective / Use Case:
Ethereum ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มสำหรับรองรับการทำงานของแอพลิเคชันแบบไร้ตัวกลาง(decentralize application : DApp) และสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ซึ่งช่วยให้การทำธุรกรรมบนบล๊อคเชนสามารถเกิดขึ้นได้โดยใช้เพียงแค่โค้ดคอมพิวเตอร์ที่สร้างไว้ระบุข้อตกลงเท่านั้น โดยไม่ต้องมีตัวกลาง
Total supply/ Limit or Unlimited:
ETH ไม่มีการกำหนด Maximum Supply ที่ตายตัว แต่ว่าจำนวนเหรียญ ETH ทั้งหมดที่มีในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ นั้นจะถูกพิจารณาโดย insuance rate ซึ่งก็จะมีปัจจัยต่าง ๆ เช่นการอัพเกรดเครือข่าย และระบบฉันทามติที่ใช้งานอยู่ มาเป็นตัวแปรอีกทีหนึ่ง (เช่นการอัพเกรดไปเป็นเวอร์ชั่น 2.0 ก็จะส่งผลต่อจำนวนเหรียญในระบบด้วยเช่นกัน)
Supply Deflation:
ในปี 2021 ที่ผ่านมา ทาง Ethereum ได้เปิดตัว EIP-1559 พร้อมกันกับการทำ Hard Fork ซึ่งสิ่งที่ว่านี้คือกลไลการเผาเหรียญแบบ base-fee-burn ที่จะทำให้มูลค่าเหรียญส่วนหนึ่งของค่าธุรกรรม จะถูกทำลายทิ้ง แทนที่จะถูกส่งให้กับนักขุดหรือผู้ที่ Stake เหรียญไว้ ซึ่งกลไกนี้สามารถช่วยในการควบคุมปริมาณเหรียญได้ดี โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการทำธุรกรรมจำนวนมาก
แหล่งที่มา:
Ethereum white paper
Ethereum 2.0 Specifications
Ethereum Improvement Proposals