
Weekly Recap Research
Stablecoin กำลังจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพลิกโฉมโลกการชำระเงินระหว่างประเทศ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การใช้งาน Stablecoin ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และเริ่มมีบทบาทชัดเจนในระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน ทั้งในรูปแบบ B2B, P2P, B2C และการชำระเงินผ่านบัตร โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้:
TL;DR
- B2B (Business-to-Business): เป็นประเภทที่มีการใช้งานมากที่สุด โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- P2P (Peer-to-Peer): อยู่ที่ 18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้จะเคยเป็นส่วนใหญ่ในช่วงต้นปี 2023 แต่ปัจจุบันปริมาณค่อนข้างคงที่
- Card-linked Payments: เติบโตอย่างรวดเร็ว อยู่ที่ 13.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยปริมาณต่อเดือนเพิ่มจากประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ในช่วงต้นปี 2023 เป็นมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ปลายปี 2024
- B2C (Business-to-Consumer): อยู่ที่ 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เติบโตจากประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนในปี 2023 เป็นมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนในช่วงต้นปี 2025
- USDT ครองตลาด: Tether’s USDT ครอบครอง 90% ของตลาด ตามด้วย Circle’s USDC โดยใช้ blockchain Tron เป็นหลัก ตามด้วย Ethereum และ Binance Smart Chain

Stablecoin กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่มีบทบาทมากขึ้นในระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ ด้วยศักยภาพในการโอนเงินที่รวดเร็ว โปร่งใส และมีต้นทุนต่ำ จากรายงานของ Artemis ร่วมกับ Castle Island Ventures และ Dragonfly ซึ่งเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม 2023 ถึงกุมภาพันธ์ 2025 พบว่ามูลค่าการทำธุรกรรม Stablecoin รวมแล้วสูงถึง 94.2 พันล้านดอลลาร์ และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 72.3 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นจากผู้ใช้งานทั่วโลกในฐานะทางเลือกใหม่สำหรับการโอนเงินข้ามพรมแดน
B2B Stablecoin Payment Volumes

[https://www.stablecoin.fyi/use-case#b2b-stablecoin-volumes]
กลุ่มธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) ยังคงเป็นผู้นำในการใช้งาน Stablecoin ด้วยมูลค่าธุรกรรมต่อปีสูงถึง 36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัททั่วโลกเริ่มหันมาใช้ Stablecoin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการชำระเงินระหว่างประเทศ ลดความยุ่งยากในการจัดการห่วงโซ่อุปทาน และบริหารสภาพคล่องของเงินสดได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากการใช้งานในภาคธุรกิจแล้ว การใช้ Stablecoin ในชีวิตประจำวันก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่านบัตรที่เชื่อมกับ Stablecoin ซึ่งมีมูลค่าธุรกรรมรวมต่อปีถึง 13.2 พันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคที่เริ่มคุ้นเคยกับการใช้ “ดอลลาร์ดิจิทัล” กับร้านค้าและบริการต่างๆ ในชีวิตจริง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่อนุญาตให้นำ Stablecoin มาใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการโดยตรง
Stablecoin Payments by Token

[https://www.stablecoin.fyi/#stablecoin-payments-by-token]
Tether (USDT) ยังคงครองตำแหน่ง Stablecoin ยอดนิยมสูงสุด โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90% ของปริมาณธุรกรรมการชำระเงินทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่บนเครือข่าย Tron ตามด้วย Ethereum แม้ภาพรวมจะแสดงแนวโน้มที่ชัดเจน แต่เมื่อลงลึกในระดับภูมิภาคกลับพบข้อมูลที่น่าสนใจ เช่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นประเทศที่มีปริมาณการส่ง Stablecoin สูงที่สุด ในขณะที่เส้นทางระหว่างสิงคโปร์และจีนมีการหมุนเวียน Stablecoin อย่างคึกคัก ภูมิภาคเอเชียยังสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของการเลือกใช้เครือข่าย ตัวอย่างเช่น อินเดียมีการใช้งาน Polygon อย่างโดดเด่น และยังเป็นหนึ่งในตลาดที่ USDC สามารถเข้ามาแย่งส่วนแบ่งจาก USDT ได้อย่างมีนัยสำคัญ
Top Net flow

[https://app.artemis.xyz/flows]
ตลอด 7 วันที่ผ่านมา Ethereum (ETH) ครองแชมป์เม็ดเงินไหลเข้าสุทธิ (Net Inflow) ด้วยยอดทะลุ 600 ล้านดอลลาร์ ทิ้งห่าง Polygon PoS และ Bitcoin ซึ่งแม้จะมีเงินไหลเข้าเช่นกัน แต่ยังตามหลังแบบไม่เห็นฝุ่น ขณะที่ฝั่งเงินไหลออก Arbitrum นำโด่งด้วยการถอนทุนสุทธิกว่า 200 ล้านดอลลาร์ ขณะ Base และ Unichain ก็เผชิญกระแสเงินไหลออกอย่างเด่นชัดเช่นกัน
ภาพรวมสะท้อนถึงแนวโน้มที่นักลงทุนยังคงให้ความเชื่อมั่นกับ Ethereum เป็นพิเศษ ซึ่งอาจได้รับแรงหนุนจากกระแสข่าวบวกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการอนุมัติ ETF แม้ว่า SEC สหรัฐฯยังไม่เปิดไฟเขียวให้กองทุน ETF ของ Ethereum สามารถเสนอผลตอบแทนจากการสเตก (staking) ได้โดยตรง แต่การออกแนวทางล่าสุดที่ระบุว่าการสเตกผ่านโปรโตคอลไม่เข้าข่ายเป็นธุรกรรมหลักทรัพย์ ถือเป็นพัฒนาการเชิงบวกที่อาจปูทางไปสู่การอนุมัติในอนาคต ประกอบกับการอัปเกรดด้านเทคนิคอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Ethereum ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายใหญ่
ในทางกลับกัน แพลตฟอร์ม Layer-2 อย่าง Arbitrum รวมถึงเชนทางเลือกอื่น ๆ ที่ยังเผชิญกับความท้าทายด้านการพัฒนาและประสบการณ์การใช้งานที่ยังไม่สมบูรณ์ ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงในสายตาของนักลงทุน ส่งผลให้เกิดการโยกย้ายเงินทุนออกจากแพลตฟอร์มเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง
Fear & Greed Index

[https://alternative.me/crypto/fear-and-greed-index/]
ดัชนี Fear & Greed Index เป็นเครื่องมือที่ใช้ประเมินความเชื่อมั่นของตลาดคริปโต โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความผันผวนของราคา,ปริมาณการซื้อขาย,ความเคลื่อนไหวบนโซเชียลมีเดียและอื่น ๆ การวัดค่าดังกล่าวจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงสภาวะตลาดในปัจจุบัน
ดัชนี Crypto Fear & Greed ขยับขึ้นแตะระดับ 56 จุดในวันที่ 1 มิ.ย. สะท้อนความรู้สึก “Greed” ที่เริ่มเด่นชัดขึ้น แม้จะลดลงจาก 74 จุดในวันก่อนหน้า และ 67 จุดเมื่อเดือนก่อน ด้าน Bitcoin สามารถยืนเหนือแนวรับสำคัญได้ท่ามกลางความผันผวน ขณะที่ Ethereum ได้แรงหนุนจากการพัฒนาระบบนิเวศ และความคาดหวังต่อ ETF ที่ยังเป็นปัจจัยสนับสนุน แม้จะไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงเริ่มแรก นอกจากนี้ กระแสเงินทุนจากสถาบันยังคงไหลออกจาก Spot Bitcoin ETFs ในระดับสูง โดยผู้เชี่ยวชาญยังคาดว่า Ethereum ETF จะมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตระยะยาวของเหรียญอันดับสองของโลกคริปโตนี้
Bitcoin ETF Flow

ตลาด Spot Bitcoin ETF ของสหรัฐฯ ปิดท้ายเดือนพฤษภาคมด้วยความผันผวน โดยทิศทางของกระแสเงินทุนเปลี่ยนจากไหลเข้าเป็นไหลออกในช่วงปลายสัปดาห์ โดยเฉพาะกองทุน IBIT ที่เผชิญแรงขายอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสัปดาห์สุดท้าย (26–30 พฤษภาคม 2568) หลังวันหยุด Memorial Day (26 พฤษภาคม) ซึ่งตลาดปิดทำการ ตลาดเปิดอีกครั้งด้วยกระแสเงินทุนไหลเข้าสุทธิสองวันติดต่อกัน (27–28 พฤษภาคม) รวมมูลค่ากว่า 818.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองวันถัดมา (29–30 พฤษภาคม) ภาพรวมกลับพลิกเป็นเงินทุนไหลออกอย่างเด่นชัด ส่งผลให้ยอดสุทธิรายสัปดาห์กลายเป็นเงินไหลออกสุทธิรวม 144.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนความระมัดระวังของนักลงทุนในช่วงปลายเดือน
กองทุน IBIT ของ BlackRock ซึ่งเป็นผู้นำตลาดมาโดยตลอด ยังคงดึงดูดเงินทุนได้อย่างต่อเนื่องในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม โดยในวันที่ 27 และ 28 มียอดเงินไหลเข้ารวมกว่า 890.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในวันที่ 29 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่ตลาดภาพรวมเผชิญกับกระแสเงินไหลออก IBIT ก็ยังคงมียอดไหลเข้าอีก 125.1 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในวันที่ 30 พฤษภาคม เมื่อ IBIT เผชิญกับการไหลออกรายวันที่สูงถึง 430.8 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมูลค่าการไหลออกที่มากที่สุดของกองทุน และอาจเป็นสัญญาณถึงการสิ้นสุดของกระแสเงินทุนไหลเข้าต่อเนื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ทำให้นักลงทุนเริ่มจับตาทิศทางของกองทุนนี้อย่างใกล้ชิด
กระแสเงินทุนที่พลิกกลับในช่วงปลายสัปดาห์ อาจสะท้อนแรงขายทำกำไรจากนักลงทุน หลังจากที่ราคา Bitcoin ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า อีกด้านหนึ่งอาจเป็นผลจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะการจับตาท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลให้ราคา Bitcoin มีความผันผวนมากขึ้น หรือเข้าสู่ช่วงพักฐานในระยะสั้น
Ethereum ETF Flow

ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม (26-30 พ.ค. 2568) ตลาด Bitcoin ETF เผชิญแรงขายทำกำไร ขณะที่กองทุน Spot Ethereum ETF ในสหรัฐฯ กลับมีเงินทุนไหลเข้าสุทธิต่อเนื่องตลอด 4 วันทำการหลังวันหยุด Memorial Day รวมเป็นเงิน $285.8 ล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงความสนใจและการตอบรับที่แข็งแกร่งจากนักลงทุนต่อสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับสองของโลก
กองทุน ETHA ของ BlackRock โดดเด่นในสัปดาห์นี้ด้วยเงินทุนไหลเข้าที่แข็งแกร่งและเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในแต่ละวัน ได้แก่ $32.5 ล้าน (27 พ.ค.), $52.7 ล้าน (28 พ.ค.), $50.4 ล้าน (29 พ.ค.) และสูงสุดที่ $70.2 ล้าน (30 พ.ค.) ขณะที่กองทุน FETH ของ Fidelity ก็มีผลงานดี มีเงินไหลเข้าตั้งแต่วันอังคารถึงพฤหัสบดีรวม $3.4 ล้าน, $25.7 ล้าน และ $38.3 ล้าน ก่อนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในวันศุกร์ สำหรับกองทุนของ Grayscale พบว่า ETHE มีเงินไหลออกเล็กน้อย $4.6 ล้านในวันที่ 29 พ.ค. ในขณะที่กองทุน ETH ซึ่งเป็น Spot Ethereum ETF ใหม่ มีเงินไหลเข้าเล็กน้อย $4.9 ล้านและ $3.2 ล้านในวันที่ 28 และ 29 พ.ค. ตามลำดับ สะท้อนการโยกย้ายเงินทุนภายในผลิตภัณฑ์ของ Grayscale เอง
แรงซื้อที่แข็งแกร่งของ Ethereum ETF แตกต่างจาก Bitcoin ETF ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการหมุนเวียนเงินทุนจาก Bitcoin ไปยัง Ethereum ความคาดหวังเชิงบวกต่อพัฒนาการเครือข่าย และแนวโน้มที่นักลงทุนเริ่มกระจายความเสี่ยงมายัง Ethereum ETF มากขึ้น หลังตลาดเริ่มคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ ETF สินทรัพย์ดิจิทัล
ข่าวสารสำคัญ
เตรียมปลดล็อกโทเคนมูลค่า $3.3 พันล้านในเดือนมิถุนายน
BlackRock’s IBIT ETF หยุดสถิติเงินไหลเข้าต่อเนื่อง 34 วัน ด้วยการไหลออก $430 ล้าน
REX Shares และ Osprey Funds ยื่นคำขอต่อ SEC เพื่อเสนอ ETF แบบ staking สำหรับ Ethereum และ Solana
MetaMask เปิดให้ใช้งานเครือข่าย Solana บนเดสก์ท็อปแล้ว
ที่มา:
https://www.coinglass.com/spot-inflow-outflow
https://cointelegraph.com/news/sec-crypto-staking-guidance-win-crypto-regulations?
หมายเหตุ : บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ขอบคุณที่ติดตามครับ
Wanchat