Weekly Recap Research
TEA (Total Economic Activity): ตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับบล็อกเชน
[https://research.artemisanalytics.com/p/reading-the-tea-leaves]
ในยุคที่บล็อกเชนพัฒนาเกินกว่าการเป็นเพียงสมุดบันทึกธุรกรรมดิจิทัล ไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบกระจายอำนาจที่มีความซับซ้อนมากขึ้น การประเมินมูลค่าโดยใช้วิธีการแบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถสะท้อนภาพรวมได้อย่างครบถ้วน บทความนี้สรุปแนวคิดจากบทวิเคราะห์ของ Artemis Analytics ซึ่งนำเสนอตัวชี้วัดใหม่ที่ชื่อว่า Total Economic Activity (TEA) สำหรับวัดขนาดและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของบล็อกเชน โดยสูตรของ TEA คือ ค่าธรรมเนียมเครือข่ายและ MEV บวกกับปริมาณการชำระธุรกรรม และค่าธรรมเนียมของแอปพลิเคชัน ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมบนเชนทั้งหมด ตัวชี้วัดนี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับมูลค่าตลาดของ Ethereum โดยมีค่าสหสัมพันธ์ที่ 0.93 เมื่อพิจารณาในระดับรายไตรมาส
Blockchains As Economies
[https://research.artemisanalytics.com/p/reading-the-tea-leaves]
นิยามของระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมคือระบบที่มนุษย์ ธุรกิจ และรัฐบาลร่วมกันตัดสินใจจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัด เช่น แรงงาน ทุน หรือวัตถุดิบ เพื่อการผลิต การบริโภค และการกระจายสินค้าและบริการภายในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เช่น ประเทศหรือเมือง แนวคิดนี้ถูกนำมาต่อยอดในบริบทของบล็อกเชน โดยชี้ให้เห็นว่าเครือข่ายบล็อกเชนเองก็มีองค์ประกอบที่ใกล้เคียงกัน ได้แก่
- ผู้บริโภค: คือผู้ใช้งานระบบ (users)
- ธุรกิจ: คือแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps) ที่ให้บริการต่างๆ
- รัฐบาล: คือมูลนิธิ ผู้ดูแลโหนด (node operators) และ DAO (องค์กรปกครองแบบกระจายอำนาจ) ที่มีบทบาทในการตัดสินใจ
- ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด: คือพลังประมวลผลของคอมพิวเตอร์และโทเค็น (tokens) ที่ใช้เป็นตัวแทนของมูลค่าหรือสิทธิ์
- สินค้าและบริการ: ได้แก่ DEX (ตลาดซื้อขายแบบกระจายศูนย์), แพลตฟอร์มกู้ยืม, ผู้ให้บริการ stablecoin และบริการอื่นๆ บนเครือข่ายบล็อกเชน
แม้ว่าบล็อกเชนจะเป็นระบบในระดับโลก (global entities) แต่ก็มีโครงสร้างแบบพึ่งพาตนเอง (self-contained) โดยทำงานผ่านเครื่องเสมือน (virtual machine) และเครือข่ายผู้ตรวจสอบ (validator network) ที่ร่วมกันรักษาความถูกต้องและความต่อเนื่องของระบบทั้งหมด กล่าวโดยสรุป บล็อกเชนไม่ได้เป็นเพียงฐานข้อมูลเท่านั้น แต่เปรียบได้กับ “เศรษฐกิจเสมือน” ที่มีโครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงคล้ายคลึงกับเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ซึ่งทำให้เราสามารถวิเคราะห์และทำความเข้าใจได้ในลักษณะเดียวกับการศึกษาระบบเศรษฐกิจจริง
Altcoin Speculation Rises
[https://insights.glassnode.com/the-week-onchain-week-29-2025/]
Glassnode ใช้ตัวชี้วัด Altseason Indicator เพื่อประเมินภาพรวมของระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล โดยตัวชี้วัดนี้จะส่งสัญญาณบวกเมื่อเกิดเงื่อนไขดังนี้
- Bitcoin และ Ethereum สามารถดึงดูดเงินทุนใหม่เข้าสู่ระบบออนเชน
- ปริมาณ stablecoin ในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- มูลค่าตลาดรวมของ Altcoin มีโมเมนตัมขาขึ้น โดยวัดจากจุดตัดของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เร็วและช้า (fast/slow moving average crossover)
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Bitcoin เคลื่อนไหวในกรอบ sideway ขณะที่ Altcoin โดยเฉพาะ Ethereum ทำผลงานได้ดีกว่า ซึ่งสะท้อนการหมุนเวียนเงินทุนตาม “เส้นโค้งความเสี่ยง” (risk curve) โดยนักลงทุนเริ่มย้ายเงินจากสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง Bitcoin ไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่มากกว่า อย่างไรก็ตาม Bitcoin ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 64% ซึ่งหมายความว่าหาก Bitcoin อ่อนแรงลง อาจส่งผลกดดันต่อตลาด Altcoin ได้ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม Altcoin ยังแสดงให้เห็นว่าราคาของเหรียญต่าง ๆ เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันอย่างใกล้ชิด แต่ความสัมพันธ์ระหว่าง Altcoin กับ Bitcoin ลดลง บ่งชี้ถึงการแยกทางของพฤติกรรมราคาในช่วงนี้
Top Net flow
[https://app.artemis.xyz/flows]
ภาพรวมกระแสเงินทุนบนเครือข่าย (On-Chain) ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา จากข้อมูลของ Artemis แสดงให้เห็นว่า Arbitrum มียอดเงินไหลเข้าสุทธิมากที่สุดกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามด้วย Ethereum ประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ และ Solana ราว 150 ล้านดอลลาร์ ตัวเลขเหล่านี้สอดคล้องกับกระแสข่าวการหมุนเวียนทุนเข้าสู่เหรียญ altcoins และ Layer 2 โดย Arbitrum ได้รับแรงหนุนจากเงินทุนที่ไหลผ่าน cross-chain bridge สูงถึง 1.9 พันล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งสะท้อนถึงการยอมรับโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนที่กำลังขยายตัว Ethereum ยังคงแข็งแกร่งด้วยกระแสเงินทุนจาก ETF เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.85 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่า Bitcoin ถึง 25 เท่า พร้อมกับการอัปเกรดเครือข่ายที่ช่วยลดค่าธรรมเนียม gas และทำให้มูลค่ารวมที่ถูกล็อก (TVL) เพิ่มขึ้น 12% แตะ 125 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ราคา ETH ปรับตัวขึ้นใกล้แตะ 4,000 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8% ในสัปดาห์เดียว ส่วน Solana ได้รับประโยชน์จากการทะลุผ่านระดับ 200 ดอลลาร์ และมีการคาดการณ์เป้าหมายราคา 300 ดอลลาร์ จากความต้องการในตลาด DeFi และเหรียญมีม
Fear & Greed Index
[https://alternative.me/crypto/fear-and-greed-index/]
ดัชนี Fear & Greed Index เป็นเครื่องมือที่ใช้ประเมินความเชื่อมั่นของตลาดคริปโต โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความผันผวนของราคา,ปริมาณการซื้อขาย,ความเคลื่อนไหวบนโซเชียลมีเดียและอื่น ๆ การวัดค่าดังกล่าวจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงสภาวะตลาดในปัจจุบัน
ดัชนีชี้วัดอารมณ์ตลาด (Market Sentiment) ในวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม 2568 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยดัชนี Fear & Greed อยู่ที่ระดับ 73 สะท้อนความเชื่อมั่นในเชิงบวกที่ยังอยู่ในโซน Greed ปัจจัยสำคัญมาจากนโยบายคริปโตของทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่กำหนดกรอบชัดเจนสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลและ stablecoins รวมถึงกระแสเงินทุนจากนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะ Ethereum Spot ETFs ที่มีเงินไหลเข้าสุทธิสูงกว่า 4.1 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูล Net Flows ของ Ethereum ที่ทะลุ 8.7 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่เปิดตัว ขณะที่ BTC Dominance อยู่ที่ประมาณ 59.3% ลดลงจากระดับสูงสุดในปีนี้ที่ใกล้ 65% แสดงถึงการหมุนเวียนทุนเข้าสู่ altcoins ซึ่งเคลื่อนไหวแข็งแกร่งกว่า ตลาด altcoin มีการเติบโตอย่างชัดเจนในเดือนกรกฎาคม โดยเฉพาะ Solana ที่เพิ่มขึ้นกว่า 12% ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์ และสัญญาณ altseason เริ่มชัดเจนมากขึ้น
Bitcoin ETF Flow
สัปดาห์ที่ผ่านมา (21–25 ก.ค. 2568) ตลาด Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ มีการเคลื่อนไหวของเม็ดเงินเข้าออกอย่างต่อเนื่อง โดยรวมแล้วมียอดสุทธิเป็นลบประมาณ 178.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 21 ก.ค. มีเงินไหลออกสุทธิ 314.3 ล้านดอลลาร์ นำโดย GBTC ที่ไหลออก 36.7 ล้าน, ARKB 3.2 ล้าน และ FBTC 1.2 ล้าน ด้านวันที่ 22 ก.ค. มีเงินไหลออกสุทธิ 15.8 ล้านดอลลาร์ โดย FBTC ไหลออก 22.7 ล้าน และ BITB 9.1 ล้าน ส่วนวันที่ 23 ก.ค. กลับมีเงินไหลเข้าสุทธิ 10.8 ล้าน ด้าน IBIT ไหลเข้า 142 ล้าน ขณะที่ FBTC ไหลออก 22.7 ล้าน วันที่ 24 ก.ค. มีเงินไหลเข้าสุทธิสูงถึง 130.8 ล้าน จาก IBIT 92.8 ล้าน, BITB 21 ล้าน และ HODL 18.2 ล้าน แม้ว่า GBTC จะไหลออก 50.5 ล้าน ด้านวันที่ 25 ก.ค. มีเงินไหลเข้าสุทธิ 9.7 ล้าน แต่ FBTC และ BITB กลับไหลออก 14.8 ล้านและ 17.4 ล้านตามลำดับ สะท้อนการชะลอตัวของกระแสเงินทุนหลังจากช่วงที่มีเงินไหลเข้าอย่างแรงก่อนหน้านี้
Ethereum ETF Flow
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา (21–25 กรกฎาคม 2568) ตลาด Spot Ethereum ETF ในสหรัฐฯ แสดงการเติบโตอย่างโดดเด่น โดยมีกระแสเงินทุนไหลเข้าสุทธิกว่า 1.87 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่ายอดรวมของ Bitcoin ETF ในช่วงเดียวกันถึง 25 เท่า สะท้อนความสนใจของนักลงทุนที่หันมาลงทุนใน Ethereum อย่างชัดเจน ภายใต้กระแส “Ethereum’s Comeback Summer” หลังจากที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในร่างกฎหมาย GENIUS Act ซึ่งสนับสนุน stablecoins และ DeFi บน Ethereum ส่งผลให้สถาบันเริ่มหมุนเงินทุนจาก Bitcoin มายัง Ethereum โดยมีกระแสเงินทุนสะสมในปีนี้สูงถึง 8.7 พันล้านดอลลาร์ ราคาของ ETH ปรับตัวขึ้นใกล้แตะ 4,000 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12% ในปีนี้ และแซงหน้า S&P 500 ขณะที่มูลค่าการถือครองสัญญาฟิวเจอร์ส (futures OI) อยู่ที่ 7.85 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ การครบรอบ 10 ปีของ Ethereum ในวันที่ 30 กรกฎาคม ยิ่งเร่งเสริมสร้างบรรยากาศเชิงบวก ในขณะที่บริษัทอย่าง SharpLink ได้ระดมทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อ ETH เพิ่ม สะท้อนการยอมรับจากนักลงทุนสถาบันและชี้ถึงแนวโน้มการหมุนเงินลงทุนเข้าสู่เหรียญอื่น ๆ (altcoin rotation) ในระยะยาว
ข่าวสารสำคัญ
Kraken ประกาศลิสต์โทเคน $INK ส่งผลราคาพุ่งกว่า 200%
Let’sBonk ยึดส่วนแบ่งตลาดแพลตฟอร์มสร้างเหรียญมีมบน Solana เพิ่มขึ้นเป็น 64%
JPMorgan คาดการณ์เงินทุนอาจไหลเข้าตลาดคริปโทฯ ถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์ หากกฎระเบียบในสหรัฐฯ ชัดเจนขึ้น
ที่มา:
https://app.artemisanalytics.com/flows
https://research.artemisanalytics.com/p/reading-the-tea-leaves
https://insights.glassnode.com/the-week-onchain-week-29-2025
หมายเหตุ : บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ขอบคุณที่ติดตามครับ
Wanchat