Weekly Recap Research 9 – 15 June

Weekly Recap Research 

ถอดรหัส Strategy บริษัทที่สะสม Bitcoin ที่พลิกโลกการเงิน 

[https://research.artemis.xyz/p/understanding-strategy-from-the-ground

รายงานล่าสุดจาก Artemis ชี้ให้เห็นว่า “Strategy” หรือ MicroStrategy ไม่ได้เป็นเพียงแค่บริษัทที่ถือครอง Bitcoin เท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือน “รถด่วน” ที่พานักลงทุนสถาบันเข้าสู่โลกคริปโตอย่างจริงจัง ด้วยแนวคิดที่มองว่า Bitcoin คือสินทรัพย์สำรองระยะยาวที่มีศักยภาพเหนือกว่าทองคำ แม้ราคา BTC จะพุ่งทะลุ $100,000 ไปแล้ว แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของทองคำ ยังมีช่องว่างในการเติบโตอีกมากสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลนี้ 

[https://research.artemis.xyz/p/understanding-strategy-from-the-ground]

หัวใจของโมเดลนี้คือกลไก “ฟลายวีล” (Flywheel) อัจฉริยะที่ใช้เร่งการสะสม Bitcoin อย่างต่อเนื่อง ผ่านการออกเครื่องมือทางการเงิน 3 รูปแบบ ได้แก่ หุ้นกู้แปลงสภาพ, หุ้นบุริมสิทธิ และที่สำคัญคือการออกหุ้นใหม่ (ATM Equity) ในช่วงที่ราคาหุ้นของบริษัทสูงกว่ามูลค่า Bitcoin ที่ถือครองอยู่ (Premium) กลยุทธ์คือการขายหุ้นในราคาสูงเพื่อระดมทุนมาซื้อ Bitcoin เพิ่ม ทำให้จำนวน BTC ต่อหุ้นเพิ่มขึ้น ยิ่งดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น เกิดเป็นวงจรสะสม BTC อย่างต่อเนื่องและทวีความเร็วตามแรงส่งจากตลาด 

สำหรับนักลงทุน การถือหุ้น Strategy เปรียบเสมือนการลงทุนใน Bitcoin ที่มี “คันโยก” (Leveraged Play) โดยควรให้ความสำคัญกับเมตริกหลักอย่าง “จำนวน BTC ต่อหุ้น” และ “ส่วนต่างราคา (Premium)” มากกว่าการติดตามเพียงกราฟราคารายวัน 

แม้โมเดลนี้จะมีความเสี่ยงเนื่องจากผูกกับผลตอบแทนของ Bitcoin และขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำ แต่ Strategy ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นผู้บุกเบิก และเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่โดดเด่นที่สุดของการลงทุนใน Bitcoin ระดับสถาบัน ซึ่งกลายเป็นต้นแบบให้บริษัททั่วโลกนำไปศึกษาและประยุกต์ใช้ต่อไป 

[https://research.artemis.xyz/p/understanding-strategy-from-the-ground]

จุดที่น่าสนใจคือแนวคิดในการเปลี่ยน ‘ความผันผวน’ (Volatility) จากสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นความเสี่ยง ให้กลายเป็น ‘พลัง’ (Vitality) ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้โดยตรง แทนที่จะหลีกเลี่ยงหรือกลัวความไม่แน่นอนของตลาด กลยุทธ์ที่ใช้กลับเลือกเผชิญหน้าและดึงเอาจุดนี้มาเป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาส ความผันผวนที่สูงกลายเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ ‘หุ้นกู้แปลงสภาพ’ (Convertible Bond) มีความน่าสนใจในสายตาของเฮดจ์ฟันด์ที่มองหาโอกาสเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา และยังเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยออกหุ้นใหม่ผ่านกลไก ATM Equity ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

กลไกนี้ทำงานเมื่อราคาหุ้นของบริษัทในตลาดซื้อขายสูงกว่ามูลค่า Bitcoin ที่บริษัทถือครองอยู่ (หรือที่เรียกว่า mNAV > 1) ซึ่ง Strategy จะอาศัยจังหวะนี้ในการเปลี่ยน “กระแสความเชื่อมั่น” หรือพรีเมียมที่เกิดขึ้นในตลาด ให้กลายเป็น Bitcoin จริงที่แสดงอยู่ในงบดุลทันที ผลลัพธ์ที่ได้คือการสร้าง “หลักทรัพย์ไฮบริดที่มี Bitcoin หนุนหลัง” ซึ่งมีลักษณะคล้ายการลงทุนแบบมีคันโยก (leverage) และแตกต่างจาก Spot ETF ทั่วไปอย่างชัดเจน 

ที่น่าสนใจคือ Strategy ยังเดินหน้าไปอีกขั้น ด้วยความพยายามในการพัฒนา “เรตติ้งความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกัน” (BTC Credit Rating) เพื่อปูทางสู่การตั้งมาตรฐานใหม่ ให้ตลาดทุนสามารถวัดและประเมินความเสี่ยงของสินทรัพย์ประเภทนี้ได้อย่างเป็นระบบและมีโครงสร้างรองรับ 

สหรัฐฯ ส่งสัญญาณไฟเขียวให้ DeFi ถึงเวลาเข้าสู่ยุคใหม่ของคริปโต 

[https://cryptofada.substack.com/p/defi-just-got-a-us-stamp-of-approval]

สัญญาณของตลาดกระทิงครั้งสำคัญอาจเริ่มก่อตัวขึ้นในสหรัฐอเมริกา ภายหลังการประชุม SEC Crypto Task Force Roundtable เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 แม้จะยังไม่มีข้อกฎหมายที่ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ท่าทีของประธาน Paul Atkins กลับแสดงจุดยืนเชิงบวกต่อวงการ DeFi อย่างชัดเจนและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะประเด็นสำคัญที่สะท้อนความพร้อมในการเปิดรับนวัตกรรมการเงินแบบไร้ตัวกลาง และเป็นเหมือนการปูทางไปสู่ยุคใหม่ที่สถาบันการเงินแบบดั้งเดิมจะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นในโลกคริปโต 

จุดเปลี่ยนสำคัญคือการตีความใหม่ว่า DeFi สอดคล้องกับคุณค่าของอเมริกาในด้านนวัตกรรมและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ พร้อมให้ความชัดเจนว่าการ Staking, Mining และการเป็น Validator ไม่ใช่ธุรกรรมหลักทรัพย์โดยเนื้อแท้ ซึ่งช่วยลดความไม่แน่นอนทางกฎหมายที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญ นอกจากนี้ ข้อเสนอ “การยกเว้นเพื่อส่งเสริมนวัตกรรม” (Innovation Exemption) จะเปิดทางให้โปรเจกต์ DeFi สามารถทดลองและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 

สำหรับนักลงทุน นี่ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่ควรจับตามองโปรโตคอลโครงสร้างพื้นฐานหลัก (Core Infrastructure) อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่ม Liquid Staking อย่างเช่น Lido ตลาดแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (DEXs) เช่น Uniswap และแพลตฟอร์มการให้กู้ยืม เช่น Aave ซึ่งกลุ่มเหล่านี้จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากความชัดเจนในด้านกฎระเบียบที่กำลังเกิดขึ้น นอกจากนี้ สินทรัพย์ที่เชื่อมโยงกับโลกแห่งความจริง (Real-World Asset) รวมถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ในวงการคริปโต ก็เป็นอีกกลุ่มที่นักลงทุนควรจับตามองอย่างใกล้ชิดเช่นกัน 

Top Net flow  

[https://app.artemis.xyz/flows]

ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา Ethereum มีการไหลเข้าของเงินทุน (Net Inflows) สูงสุด ตามมาด้วยโซลูชัน Layer 2 อย่าง Arbitrum, StarkNet และ Sonic ซึ่งแสดงถึงการหมุนเวียนเงินทุนกลับเข้าสู่ระบบนิเวศของ Ethereum อย่างชัดเจน ขณะที่ Base blockchain มีการไหลออกของเงินทุน (Net Outflows) มากที่สุด รวมถึง Polygon PoS, Solana และ Avalanche ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับรายงานจาก Coindesk ที่ระบุว่า กองทุน US Spot Ethereum ETFs เพิ่งมีการไหลออกสุทธิ (net outflows) มูลค่า 2.18 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 13 มิถุนายน หลังจากที่มีการไหลเข้าต่อเนื่องถึง 19 วัน อย่างไรก็ตาม Ethereum ยังคงแสดงสัญญาณเชิงบวก โดยนักวิเคราะห์คาดว่า ETH อาจทำผลงานได้ดีกว่า Bitcoin (BTC) ในปี 2025 นี้ 

ในทางกลับกัน Base ซึ่งเป็น Layer 2 ที่ได้รับความนิยม กลับมีเงินทุนไหลออกสุทธิสูงถึงกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นว่าผู้ลงทุนเริ่มทยอยเทขายทำกำไรจากกระแส Memecoin และ SocialFi ที่เคยได้รับความนิยมบนเชนนี้ โดยเงินทุนส่วนใหญ่ถูกโยกย้ายกลับเข้าสู่สินทรัพย์ที่มีความมั่นคงมากกว่าอย่าง Ethereum เพื่อบริหารความเสี่ยง และเตรียมพร้อมรับโอกาสใหม่ ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเปิดตัว ETF ในอนาคตอันใกล้นี้ 

รูปแบบการไหลเข้าของเงินทุน (Net flows patterns) สะท้อนให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูง (high-performance chains) กลับเข้าสู่ Ethereum mainnet และ Layer 2 ซึ่งนักลงทุนกำลังรอคอยปัจจัยกระตุ้น (upcoming catalysts) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ 

Fear & Greed Index 

[https://alternative.me/crypto/fear-and-greed-index/]

ดัชนี Fear & Greed Index เป็นเครื่องมือที่ใช้ประเมินความเชื่อมั่นของตลาดคริปโต โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ  เช่น ความผันผวนของราคา,ปริมาณการซื้อขาย,ความเคลื่อนไหวบนโซเชียลมีเดียและอื่น ๆ การวัดค่าดังกล่าวจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงสภาวะตลาดในปัจจุบัน  

ดัชนี Crypto Fear & Greed ปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 60 ซึ่งสะท้อนถึงภาวะ “Greed” หรือความโลภในตลาด แสดงให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมองตลาดในแง่บวกอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในช่วงสุดสัปดาห์ดัชนีมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากระดับ 63 มาอยู่ที่ 60 ซึ่งไม่ได้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลงแต่อย่างใด แต่เป็นสัญญาณของการ “พักฐานอย่างมีสุขภาพดี” (Healthy Consolidation) ที่ช่วยให้ตลาดได้คลายความร้อนแรงและเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวในระยะถัดไป 

หลังจากที่กระแสเงินทุนจำนวนมากจาก ETF ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ เป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนระยะสั้นจะเริ่มขายทำกำไรในช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งมักมีปริมาณการซื้อขายลดลงกว่าวันทำการ การขายทำกำไรนี้ทำให้ราคาบิตคอยน์เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ หรือที่เรียกว่าการพักฐาน ส่งผลให้อารมณ์ “ความโลภ” ในตลาดลดลงเล็กน้อย นักวิเคราะห์มองว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะช่วยลดความร้อนแรงของตลาดและสร้างฐานราคาที่มั่นคงมากขึ้น ก่อนที่ราคาจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อไปในอนาคต 

ปัจจัยหลักที่สนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดในครั้งนี้มาจาก “ปัจจัยมหภาค” เป็นสำคัญ โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้นักลงทุนเริ่มมีความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบและทำให้สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น คริปโทเคอร์เรนซี กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง 

นอกจากนี้ “ปัจจัยภายในตลาด” อย่างการฟื้นตัวทางเทคนิคของราคาบิตคอยน์ รวมถึงกระแสเงินทุนที่ยังคงไหลเข้าสู่ Ethereum ETF อย่างต่อเนื่อง ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดและลดความกังวลของนักลงทุนที่เกิดจากความผันผวนในช่วงก่อนหน้าได้อย่างชัดเจน 

Bitcoin ETF Flow 

[https://farside.co.uk/btc/

สัปดาห์ที่สองของเดือนมิถุนายน (9-13 มิถุนายน 2568) กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาด Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ เมื่อมีกระแสเงินทุนไหลเข้าสุทธิเข้มข้นตลอดทั้ง 5 วันทำการ รวมยอดสุทธิสูงถึง 1.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นการพลิกกลับจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่เต็มไปด้วยความผันผวนอย่างมาก และได้รับแรงหนุนจากปัจจัยมหภาคสำคัญ รวมถึงเหตุการณ์พลิกผันครั้งประวัติศาสตร์ของกองทุน GBTC จาก Grayscale 

หลังจากที่เผชิญกับภาวะเงินทุนไหลออกอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปลี่ยนเป็น Spot ETF ในเดือนมกราคม ในที่สุด GBTC ก็สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการมีเงินทุนไหลเข้าสุทธิติดต่อกันสองวันในวันที่ 12 และ 13 มิถุนายน (+5.9 ล้าน และ +9.1 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ) 

Ethereum ETF Flow 

[https://farside.co.uk/eth/]

ในสัปดาห์ที่สองของเดือนมิถุนายน (9-13 มิถุนายน 2568) กระแสเงินทุนไหลเข้าสุทธิอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งตลอด 4 วันแรกของสัปดาห์ ก่อนปิดยอดรวมสุทธิที่สูงถึง 528.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้นักลงทุนสถาบันเริ่มกลับมามอง Ethereum เป็นสินทรัพย์หลักสำหรับการเข้าสู่ช่วง “Risk-On” ร่วมกับ Bitcoin อย่างชัดเจน 

โดยเฉพาะกองทุน Ethereum Trust (ETHE) ของ Grayscale ที่ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของกองทุน Bitcoin อย่าง GBTC ซึ่งกลับมาได้รับเงินไหลเข้าอีกครั้ง ในวันที่ 11 มิถุนายน กองทุน ETHE มีเงินไหลเข้าสุทธิถึง 13.3 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนักและแสดงถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่อสินทรัพย์นี้อย่างมีนัยสำคัญ 

ข่าวสารสำคัญ 

ราคา Bitcoin และ Ether ร่วงลง แตะ $104,000 หลังมีรายงานข่าว ‘อิสราเอลโจมตีทางอากาศในอิหร่าน 

Spot Ethereum ETF เงินไหลเข้า 19 วันติด และมียอดเงินไหลออกเล็กน้อย 

Spot Bitcoin ETF สหรัฐฯ Volume เทรดสะสมใกล้ทะลุ $1 ล้านล้านเหรียญ 

Shopify จับมือ Coinbase เปิดให้ร้านค้าทั่วโลกรับชำระเงินด้วย USDC ผ่าน Base Chain 

CEO ของ Ripple Brad Garlinghouse คาดการณ์ XRP ‘อาจชิงส่วนแบ่ง’ 14% ของปริมาณธุรกรรม SWIFT 

ที่มา:

https://www.coindesk.com/opinion/2025/01/06/why-ether-could-outperform-bitcoin-in-2025

https://cryptofada.substack.com/p/defi-just-got-a-us-stamp-of-approval?utm

https://research.artemis.xyz/p/understanding-strategy-from-the-ground

หมายเหตุ : บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้ 

คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้   

 
ขอบคุณที่ติดตามครับ 
Wanchat